ครั้นถึงเวลาต้นมะม่วงเริ่มผลิดอกแล้ว จะติดผลทุกดอกก็หาไม่ บ้างก็ถูกทำลายไปด้วยภัยหมอก ลม ฝน เพลี้ย สาระพัด รอดพ้นภัยไปได้ ก็เริ่มติดผลมะม่วงเล็กๆ ก็เจอภัยต่างๆ ต่อเนื่องเรื่อยๆ ไปจนผลใหญ่เก็บได้ กว่าผลมะม่วงจะสุกเหลือง ให้รับประทานรสหวานได้ก็ต้องใช้ระยะเวลานาน
..การปฏิบัติธรรมเป็นธรรมชาติของจิตที่จะบังคับ จะบีบคั้น จะรีบเร่งบังคับให้สงบ ไม่ได้เช่นกัน
..ผู้สนใจเริ่มต้นปฏิบัติธรรมใหม่ๆ แม้ปฏิบัติจิตยังไม่สงบ ให้ได้ดั่งใจที่ตนต้องการ ให้เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาสงบกว่า แต่ในระหว่างปฏิบัติธรรมนั้น ก็ได้ผลให้ จิตเกิดความสุข เกิดความสบายใจ มีสติเพิ่มขึ้นในการพิจารณาสิ่งทั้งหลายด้วยปัญญาทางธรรม เห็นความไม่เที่ยง เห็นความทุกข์ เห็นว่าควบคุมไม่ได้เลย จิตก็รู้จักปล่อยวางสิ่งที่ถือมั่น สิ่งที่หลงยึดมั่น สิ่งที่คาดหวังมาก ลงไปได้บ้าง จิตก็ค่อยๆ รู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย ความเครียดลดลง ไม่เจ็บป่วยบ่อย จากผลของความเครียด สุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็ดี
..หากเปรียบผู้สนใจเริ่มต้นปฏิบัติธรรม เหมือนผู้ที่กำลังหิวอยู่ เพียงได้เริ่มต้นรับประทานอาหารก็รู้รส รู้อารมณ์ แม้ยังไม่ถึงความอิ่มท้อง แต่รับประทานเรื่อยๆไป ในที่สุดก็อิ่มท้อง
..ผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรใจร้อนในการคาดหวังผลจากการปฏิบัติธรรม จักให้เห็นผลความสงบในจิตทันที/ทันใจ/ทันความอยาก/สั่งให้จิตสงบได้ดังใจคิด ก็เป็นไปไม่ได้
..ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องเพียรปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอเรื่อยๆไป ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ต่อสิ่งที่มากระทบจิต ทดสอบความเข้มแข็งจิตของผู้ปฏิบัติธรรม ขวางกั้นการทำความดี หากผู้ปฏิบัติธรรมมีจิตอดกลั้นต่อกิเลสในจิตอย่างยิ่งแล้ว มุ่งมั่นเพียรขัดเกลากิเลสในจิตของตน ด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในที่สุด..จิตก็จะถึง..สุขแท้ (……….)
.. ดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสในโอวาทปาติโมกข์
“ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา”ในความหมาย ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
อุทยานธรรมพระพุทธรูปอู่ทองอุดมทรัพย์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗